การลดไข้ จากการการมีอุณหภูมิร่างกายที่สูงเกินกว่า 37 องศา ด้วยความร้อนที่สะสมอยู่ในร่างกาย จึงมักส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายเนื้อสบายตัว และเมื่อเป็นไข้วิธีการลดไข้ยอดฮิตนอกเหนือจากการทานยา ก็คงหนีไม่พ้นการเช็ดตัวลดไข้เพื่อให้น้ำเป็นตัวช่วยถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย และยังมีวิธีการลดไข้ต่างๆ ที่สามารถทำได้

การลดไข้ ควรทำอย่างไร

การลดไข้ จากอาการเป็นไข้คือการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายที่มีต่อการติดเชื้อหรือการบาดเจ็บ มันจะกระตุ้นร่างกายให้ผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวและสารภูมิต้านทานเพิ่มขึ้นเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ นักวิจัยบางส่วนเชื่อว่าเมื่อเป็นไข้อ่อนๆ ควรปล่อยไว้ แต่ไข้ในเด็กเล็กก็อาจทำให้คุณไม่สบายใจได้ แม้โดยปกติแล้วไข้ต่ำๆ จะไม่ต้องการการรักษา แต่บางทีอาจจะอยากให้ไข้ลดเพื่อความสบายตัวของลูก หากเป็นไข้สูงอาจเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เด็กควรได้รับการตรวจอาการโดยกุมารแพทย์

วิธีลดไข้ในเด็กเล็ก

วิธีการลดไข้ในเด็ก มีดังต่อไปนี้

1. วัดไข้ให้เด็ก วัดไข้เด็กโดยใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบดิจิทัล จะได้ค่าที่แม่นยำกว่าหากสอดเทอร์โมมิเตอร์ทางทวารหนัก แต่จะเหน็บใต้รักแร้ก็ได้ (ค่าที่ได้จะมีความแม่นยำน้อยกว่า) ห้ามใช้เทอร์โมมิเตอร์อันเดิมปนกันเด็ดขาด

  • การลดไข้สามารถวัดไข้บริเวณหน้าผากเด็กได้โดยเลือกใช้แถบวัดอุณหภูมิ และใช้เทอร์โมมิเตอร์สำหรับวัดทางหูก็ได้เช่นกัน
  • ทารกและเด็กเล็กมักจะมีอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าและมีหลายช่วงมากกว่าอุณหภูมิร่างกายของผู้ใหญ่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าร่างกายของเด็กจะมีอัตราส่วนพื้นที่ผิวต่อปริมาตรมากกว่า และส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังพัฒนาอยู่
  • อุณหภูมิปกติของร่างกายเด็กเล็กคือ 97-99 องศาฟาเรนไฮต์ (36-37.2 องศาเซลเซียส)
  • ไข้ต่ำในเด็กเล็กจะอยู่ในช่วง 99-100.9 องศาฟาเรนไฮต์ (3-38.3 องศาเซลเซียส)
  • ถ้าอุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 101-103.5 องศาฟาเรนไฮต์ (4-39.7 องศาเซลเซียส) บ่งบอกได้ว่าควรเฝ้าดูแลอาการ ไข้ที่อยู่ในระดับนี้มักจะเกิดจากเชื้อไวรัสหรือการติดเชื้อแบบไม่รุนแรงมาก
  • ถ้ามีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 6 องศาฟาเรนไฮต์ (39.8 องศาเซลเซียส) ควรได้รับการรักษาหรือหาวิธีลดไข้ (ดูได้จากขั้นตอนต่อไป) ถ้าใช้วิธีในขั้นตอนต่อไปแล้วไข้ลดลงก็สามารถรอไปพบแพทย์ในตอนเช้าได้ แต่ถ้าไม่ คุณควรพาเด็กไปห้องฉุกเฉินทันที

2. การลดไข้ด้วยการอาบน้ำให้เด็ก น้ำจะช่วยนำความร้อนออกจากร่างกายได้เร็วกว่าอากาศ การอาบน้ำเป็นวิธีที่ดีในการลดไข้ และได้ผลเร็วกว่ายาเสียอีก  อาจจะอาบน้ำให้เด็กเพื่อการลดไข้ในระหว่างที่รอให้ยาอะเซตามีโนเฟน (ไทลินอล) หรือยาแก้ปวดลดไข้ทำงาน

  • การลดไข้ให้ใช้น้ำอุ่นอาบ ห้ามใช้น้ำเย็นเพื่อลดไข้เด็ดขาด อุณหภูมิของน้ำที่ต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกายเล็กน้อยจะช่วยลดไข้ได้เร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์ผสมน้ำอาบ มันเป็นวิธีการที่เก่าและไม่ได้รับการรับรองจากแพทย์
  • คุณสามารถใช้ผ้าชุบน้ำวางบนหน้าผากเด็กหรือเช็ดตามร่างกายเพื่อการลดไข้ได้

3. ให้เด็กดื่มน้ำเยอะๆ การเป็นไข้อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นอาการที่อันตราย ดังนั้นการให้เด็กดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เพื่อคงความชุ่มชื้นของร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ

  • น้ำเปล่าสะอาดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเสมอ แต่ตัวเลือกอื่นๆ ก็ใช้ได้ถ้าลูกของคุณไม่ยอม ให้เด็กดื่มน้ำผลไม้ผสมน้ำเปล่า หรือน้ำเปล่าใส่ผลไม้สดแทนก็ได้
  • คุณสามารถให้เด็กดื่มชาสมุนไพรเย็นแบบไม่มีคาเฟอีน (เช่น ชาคาโมมายล์และชาเปปเปอร์มินต์) หรือน้ำเกลือแร่อย่างพีเดียไลท์ (Pedialyte) ก็ได้ ใช้ได้สำหรับเด็กทุกวัย
  • ควรระมัดระวังและสังเกตอาการของภาวะขาดน้ำอยู่ตลอด ยิ่งเด็กมีไข้สูงเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการขาดน้ำ
  • สัญญาณบ่งบอกถึงภาวะขาดน้ำ ได้แก่ ปัสสาวะมีความเข้มข้นสูง ซึ่งจะมีสีเข้มและอาจมีกลิ่นแรงกว่าปกติ ความถี่ในการปัสสาวะ (ระยะห่างระหว่างครั้ง 6 ชั่วโมงขึ้นไป) ปากแห้ง ร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา และตาโหล

4. ปรับอุณหภูมิภายนอกร่างกายและอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม การลดไข้ให้สวมเสื้อผ้าเนื้อเบาชั้นเดียวให้เด็กเพื่อควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม เพราะเสื้อผ้าหลายชั้นจะยิ่งเก็บกักความร้อนไว้กับตัวเด็ก ชุดที่หลวมและบางจะช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดีกว่า

  • วางผ้าห่มไว้ใกล้ตัวเผื่อเด็กรู้สึกหนาวหรือบ่นว่าหนาว
  • พัดลมทำให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้นและช่วยพาความร้อนออกจากร่างกายได้ ถ้าคุณเปิดพัดลม ควรเฝ้าดูแลเด็กให้ดีเพื่อไม่ให้หนาวเกินไป และอย่าเปิดพัดลมจ่อเด็กโดยตรง

5. การลดไข้ด้วยการกินยา การใช้ยาลดไข้เป็นสิ่งที่ควรทำเมื่อต้องการให้เด็กรู้สึกดีขึ้น หรือต้องการลดไข้สูงๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงเท่านั้น

  • ถ้าเด็กมีไข้ต่ำหรือไข้อ่อนๆ การปล่อยไว้ให้หายเองจะดีที่สุด เว้นแต่ว่าจะมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วย หากมีไข้ปานกลางถึงไข้สูง หรือมีอาการอื่นๆ ตามมา มักจะรักษาได้ด้วยยาลดไข้
  • ยาอะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen) หรือพาราเซตามอล เช่น ไทลินอล (Tylenol) สามารถใช้ในเด็กทารกและเด็กเล็กได้ ควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณยาที่เหมาะสม
  • ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เช่น แอดวิล (Advil) และมอตริน (Motrin) สามารถใช้ในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปได้ ควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณยาที่เหมาะสม
  • ไม่แนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะอาจทำให้เป็นโรคไรย์ซินโดรม (Reye’s Syndrome) ได้
  • ยาลดไข้มีขายในรูปแบบยาเหน็บทวารหนักและยาน้ำสำหรับเด็กด้วย ให้ยาในปริมาณที่เหมาะสมโดยดูจากอายุและน้ำหนักตัวเด็ก
  • ห้ามใช้ยาเกินขนาดหรือความถี่ในการให้ยา ควรจดบันทึกเวลาและปริมาณยาที่ให้เด็กในแต่ละครั้งเอาไว้
  • ถ้าเด็กกินยาตามแพทย์สั่งอยู่ ให้ปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนจะซื้อยาลดไข้ตามร้านขายยาให้เด็กกิน
  • ถ้าเด็กมีอาการอาเจียนและไม่สามารถกินยาได้ อาจต้องใช้ยาลดไข้อะเซตามีโนเฟนแบบเหน็บทวารหนัก ควรอ่านฉลากสำหรับปริมาณในการใช้ที่เหมาะสม
  • หากยาลดไข้ใช้ไม่ได้ผล ให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์

6. ปรึกษาแพทย์ว่าเด็กควรได้รับยาปฏิชีวนะหรือไม่ ยาปฏิชีวนะใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย และไม่สามารถรักษาการติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสได้

  • การใช้ยาปฏิชีวนะในปริมาณมากโดยไม่จำเป็น จะกระตุ้นให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาได้ ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
  • ถ้าเด็กได้รับยาปฏิชีวนะ ควรให้กินจนครบตามที่แพทย์สั่ง

การลดไข้

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลดไข้ในเด็ก

1. เข้าใจถึงสาเหตุของไข้ ในบางระดับ ไข้ก็เป็นเหมือนเพื่อนของเรา มันเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายต่อสาเหตุที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • การติดเชื้อจากแบคทีเรีย เช่น แบคทีเรียสเตรปโตคอกคัส ที่เป็นสาเหตุของโรคเจ็บคอสเตรปโธรท และโรคหูอักเสบ จะทำให้เป็นไข้ มักจะรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
  • การติดเชื้อจากไวรัส เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ และโรคอื่นๆ ที่พบทั่วไปในเด็ก (โรคอีสุกอีใส และโรคหัด) ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ และวิธีเดียวที่จะช่วยได้ก็คือรอและรักษาอาการอื่นๆ ไปก่อน การติดเชื้อจากไวรัสเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กเป็นไข้ และมักจะเป็นอยู่ 3-4 วัน
  • เมื่อเด็กฟันขึ้นมักจะทำให้เป็นไข้ต่ำๆ
  • การสร้างภูมิคุ้มกันจะทำให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแบบไม่รุนแรง ซึ่งมักจะส่งผลให้มีไข้อ่อนๆ
  • เด็กอาจเป็นไข้ได้เมื่อร่างกายร้อนเกินไปเนื่องจากอยู่ในที่ร้อนๆ และเป็นโรคเพลียแดดหรือโรคลมแดด ซึ่งจัดเป็นภาวะฉุกเฉิน
  • ไม่บ่อยนักที่สาเหตุของไข้จะมาจากการอักเสบ เช่น ข้ออักเสบ หรือโรคร้ายแรงอื่นๆ รวมถึงมะเร็งบางชนิด

2. รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์ การเฝ้าไข้เด็กเป็นวิธีการที่เหมาะสม คุณคงไม่อยากจะทำอะไรมากเกินไป แต่ก็ไม่อยากประเมินสถานการณ์ต่ำไปเช่นกัน โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งเด็กอายุน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่เท่านั้น เรามีคำแนะนำให้คุณ ขึ้นอยู่กับอายุของเด็ก

  • 0-3 เดือน หากมีไข้ 4 องศาฟาเรนไฮต์ (38 องศาเซลเซียส) ควรรีบพาไปพบแพทย์แม้จะไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เด็กอายุต่ำกว่า 2 เดือน ต้องรีบพบแพทย์ทันที
  • 3 เดือน – 2 ปี ไข้ต่ำกว่า 102 องศาฟาเรนไฮต์ (9 องศาเซลเซียส) สามารถจัดการได้ที่บ้าน (ดูวิธีการในส่วนก่อนหน้านี้)
  • 3 เดือน – 2 ปี ไข้สูงกว่า 102 องศาฟาเรนไฮต์ (9 องศาเซลเซียส) ต้องรับการรักษา ควรปรึกษากุมารแพทย์สำหรับคำแนะนำ และจะยิ่งสำคัญมากหากเด็กมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ไข้ไม่ลดหลังจากกินยา หรือมีไข้นานเกิน 1-2 วัน

3. รู้ทันสัญญาณบอกถึงอาการที่อันตราย พ่อแม่มักจะมีสัญชาตญาณรับรู้เกี่ยวกับอาการป่วยของลูก เด็กจะมีการตอบสนองต่อโรคในแบบต่างๆ และพ่อแม่ก็มักจะรู้ถึงความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว

  • หากมีไข้ร่วมกับมีอาการอ่อนเพลียและเซื่องซึม อาจเป็นสัญญาณบอกถึงอาการที่น่าวิตกกังวล
  • ถ้าลูกของคุณมีอาการร้ายแรง เช่น มีภาวะสับสน รอบปากหรือนิ้วเป็นสีม่วงน้ำเงิน เป็นลมชัก ปวดหัวอย่างหนัก คอแข็งเกร็ง เดินไม่ได้ หรือหายใจลำบาก ควรรีบโทร.เบอร์ฉุกเฉิน 911 ทันที

ข้อควรระวังในการลดไข้

  • ตรวจสอบกับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาพร้อมกันสองชนิดขึ้นไป เพราะยาหลายชนิดอาจประกอบด้วยตัวยาแบบเดียวกัน และอาจทำให้ได้รับยาเกินปริมาณที่กำหนดโดยไม่รู้ตัว
  • อย่าพยายามลดไข้ในเด็กด้วยการใช้แอลกอฮอล์ มันจะช่วยให้ตัวเด็กเย็นเร็วเกินไป และจะเป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นมากกว่า
  • ถ้าลูกของคุณไข้ขึ้นเนื่องจากอยู่ในที่ที่อากาศร้อน ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว
  • ห้ามใช้ยาแอสไพรินกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะอาจทำให้เกิดโรคไรย์ซินโดรมซึ่งเป็นอันตรายมากและอาจไปทำลายตับได้

อุณหภูมิร่างกายเท่าไหร่ถึงเรียกว่ามีไข้

ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า จริงๆ แล้วอุณหภูมิร่างกายปกติของคนเรา ไม่ได้คงที่ตลอดเวลา แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแต่ละช่วงของวัน และอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ต่างกันไป เช่น เพศ อายุ พฤติกรรม หรืออาหารการกิน

  • ร่างกายปกติ >> 35.4 – 37.4 องศาเซลเซียส
  • มีไข้ต่ำ >> 37.5 – 38.4 องศาเซลเซียส
  • ไข้สูง >> 38.5 – 39.4 องศาเซลเซียส
  • ไข้สูงมาก >> มากกว่า 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป

 

อย่าลืมสังเกตตัวเอง ถ้ามีอาการไข้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส สามารถนำวิธีการลดไข้เบื้องต้นไปใช้ได้ และหากมีอาการ เจ็บคอ ไอ จาม น้ำมูกไหล และหายใจเหนื่อยหอบร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินัยอย่างละเอียด เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที

 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเด็ก

ที่มาของบทความ

 

ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับเด็กได้ที่ kempaonline.com

สนับสนุนโดย  ufabet369